ติดต่อเรา

ติดต่อสอบถามทางโทรศัพท์

ปัญหาไม่ได้แจ้งบุตรในระบบภาษี เลยขอลดหย่อนไม่ได้

ปัญหาที่ 1: ไม่ได้แจ้งบุตรในระบบภาษี เลยขอลดหย่อนไม่ได้

วิธีแก้:

  1. เตรียมเอกสารบุตรให้ครบ:

    • สูติบัตรบุตร

    • สำเนาทะเบียนบ้าน (ที่มีชื่อคุณและบุตร)

    • สำเนาบัตรประชาชนผู้ยื่นภาษี (คุณ)

    • หนังสือรับรองการศึกษา (ถ้าบุตรอายุเกิน 20 ปีและยังเรียนอยู่)

  2. แจ้งบุตรในระบบภาษีล่วงหน้า ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ใกล้บ้าน
    หรือ
    แนบเอกสารประกอบการยื่นภาษี (แบบ ภ.ง.ด.90/91) เพื่อแจ้งบุตรครั้งแรก

  3. เมื่อแจ้งครั้งแรกสำเร็จแล้ว → ปีถัดไปสามารถลดหย่อนได้อัตโนมัติ ไม่ต้องแจ้งใหม่

💡 กรณีบุตรบุญธรรม ต้องมีใบรับรองการรับเป็นบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมายแนบด้วย

ปัญหาที่ 2: ลืมขอใบรับรองจากประกัน/โรงพยาบาล

วิธีแก้:

  1. ติดต่อบริษัทประกันหรือโรงพยาบาล ที่คุณซื้อประกันสุขภาพ / ประกันชีวิตไว้

  2. ขอเอกสารชื่อว่า:

    • “หนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัย เพื่อใช้ในการลดหย่อนภาษี”

  3. บริษัทส่วนใหญ่สามารถส่งให้ทางอีเมล หรือดาวน์โหลดผ่านแอป/เว็บไซต์ได้

📌 คุณต้องได้รับเอกสารนี้ ภายในปีภาษีที่เกี่ยวข้อง (หรือไม่เกินช่วงยื่นภาษี)

หากลืมลดหย่อนภาษีไปแล้ว ทำยังไงดี?

วิธีแก้:

  1. ถ้าคุณ ยังอยู่ในช่วงยื่นภาษี (ม.ค.–เม.ย. ปีถัดไป):

    • แก้ไขแบบผ่าน https://efiling.rd.go.th → เลือก “แก้ไขแบบเดิม”

  2. ถ้าเลยช่วงยื่นไปแล้ว แต่ยังอยู่ในปีเดียวกัน:

    • ยื่นคำร้อง “ขอคืนภาษีย้อนหลัง” พร้อมแนบหลักฐานลดหย่อน

    • ติดต่อ สำนักงานสรรพากรพื้นที่

เคล็ดลับ: ทำ Checklist ลดหย่อนทุกเดือนธันวาคม

รายการ เช็ก ✔
แจ้งชื่อบุตรในระบบ
ขอบัตรรับรองประกันชีวิต
ขอบัตรรับรองประกันสุขภาพ
เก็บใบเสร็จบริจาค/ดอกเบี้ยบ้าน

บทสรุป: วิธีแก้ปัญหาลืมขอลดหย่อนบุตร หรือไม่มีใบลดหย่อนประกัน

🔹 กรณีลืมขอลดหย่อนบุตร:

  • ต้องแจ้งชื่อบุตรต่อกรมสรรพากร ครั้งแรก พร้อมเอกสาร เช่น สูติบัตร, สำเนาทะเบียนบ้าน

  • หากลืมแจ้งในการยื่นภาษี → สามารถ ยื่นแก้ไขแบบ หรือ ยื่นขอคืนภาษีย้อนหลัง ได้

🔹 กรณีลืมขอใบลดหย่อนจากประกัน/โรงพยาบาล:

  • ติดต่อบริษัทประกัน หรือโรงพยาบาล เพื่อขอ หนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกัน

  • ส่วนใหญ่สามารถขอทางออนไลน์หรือโทรศัพท์ได้

  • เอกสารนี้จำเป็นต่อการลดหย่อนภาษีในแต่ละปี

หากเลยช่วงยื่นภาษีแล้ว:

  • ยังสามารถติดต่อสรรพากรเพื่อ ยื่นขอคืนภาษีย้อนหลัง ได้ภายใน 3 ปี

ข้อแนะนำ:

  • สร้าง Checklist ลดหย่อนประจำปี ช่วงเดือนธันวาคม

  • ตรวจสอบสิทธิ์ลดหย่อนทุกครั้งก่อนยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91

  • เก็บเอกสารหลักฐานทุกอย่างไว้อย่างน้อย 5 ปี เผื่อมีการตรวจสอบย้อนหลัง

“5 วิธีวางแผนภาษี ให้เสียภาษีน้อยที่สุดในปี 2568”

ทำไมเราต้องวางแผนภาษี?

เพราะ “การวางแผนภาษี” ไม่ใช่การหนีภาษี — แต่คือการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อให้เราจ่ายเท่าที่จำเป็น และมีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายหรือลงทุนเพิ่มในอนาคตอย่างถูกต้อง

📌 ทุกปีมีคนไทยจำนวนมาก “จ่ายภาษีเกินกว่าที่ควรจะเป็น” เพราะ ไม่รู้ว่าสามารถลดหย่อนได้อีก หรือ วางแผนผิดจังหวะเวลา

5 วิธีวางแผนภาษีให้จ่ายน้อยลง (แบบถูกกฎหมาย 100%)

1. ใช้สิทธิค่าลดหย่อนให้ครบ

ในปี 2568 กรมสรรพากรให้ลดหย่อนหลายรายการ เช่น:

รายการ ลดได้สูงสุด
ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
คู่สมรส (ไม่มีรายได้) 60,000 บาท
บุตร (คนแรก) 30,000 บาท
บุตร (คนที่สองขึ้นไป) 60,000 บาท/คน
ประกันชีวิต 100,000 บาท
ประกันสุขภาพตนเอง 25,000 บาท
ประกันสุขภาพพ่อแม่ 15,000 บาท
กองทุน SSF 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
กองทุน RMF ไม่เกิน 30% ของรายได้
ดอกเบี้ยบ้าน ไม่เกิน 100,000 บาท
บริจาค หัก 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิ

📝 ข้อผิดพลาดยอดฮิต: ลืมขอลดหย่อนบุตร เพราะไม่ได้แจ้งเกิดในระบบภาษี หรือลืมขอใบรับรองจากประกัน/โรงพยาบาล

2. วางแผนซื้อของลดหย่อนช่วงปลายปี

รัฐมักออกมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ในไตรมาส 4
คุณสามารถวางแผนซื้อของจำเป็น เช่น หนังสือ สินค้าท้องถิ่น หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพช่วงปลายปี เพื่อขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ และนำมาลดหย่อนได้ (ในปีภาษีนั้น)

3. จัดเก็บเอกสารลดหย่อนให้ครบ

  • หลักฐานจาก กองทุน RMF/SSF

  • ใบรับรองเบี้ยประกัน

  • ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป (ที่ระบุชื่อ–เลขบัตรประชาชน)

🧾 ตอนยื่นภาษีออนไลน์ อาจไม่ต้องแนบเอกสารทันที แต่หากมีการตรวจสอบย้อนหลัง ต้องมีหลักฐานครบ

4. หากมีรายได้หลายทาง ให้รวมวางแผนล่วงหน้า

เช่น:

  • เงินเดือนประจำ + รายได้ขายของออนไลน์

  • ฟรีแลนซ์ + ดอกเบี้ยจากบัญชีออมทรัพย์

📍 หากมีรายได้หลายทาง ควรประเมินรายได้รวมให้ชัด แล้วเลือกวิธีหักค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เช่น หักเหมา หรือหักตามจริง

5. ยื่นภาษีออนไลน์ให้ตรงเวลา

ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91 ได้ที่ https://efiling.rd.go.th
ช่วงยื่นภาษีสำหรับรายได้ปี 2567 คือ:

🗓 1 มกราคม – 8 เมษายน 2568
✅ แต่หากยื่นผ่านออนไลน์ ระบบจะขยายเวลาถึง วันที่ 9 เมษายน 2568

รู้ไหม? ลดหย่อนที่คนมักลืม!

  • ✅ ค่าฝึกอบรมพัฒนาทักษะตนเอง (เช่น คอร์สออนไลน์ บางประเภท)

  • ✅ ประกันสุขภาพบิดา–มารดา

  • ✅ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)

  • ✅ เงินบริจาคเพื่อสถานศึกษา/โรงพยาบาล (หัก 2 เท่า)

บทสรุป

การเสียภาษีเป็นหน้าที่ของทุกคน แต่การ วางแผนภาษีอย่างฉลาด คือการใช้สิทธิที่คุณมีให้เต็มที่ ช่วยคุณประหยัดเงิน และยังทำให้คุณเข้าใจระบบภาษีมากขึ้นในระยะยาว

📌 อย่ารอจนถึงปลายปี — เริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้ จะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเกินจำเป็น

“ฟรีแลนซ์–ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีไหม?”

ไขข้อข้องใจเรื่องภาษีออนไลน์ พร้อมแนวทางรับมือแบบมืออาชีพ

เมื่อรายได้ออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นคนขายของใน TikTok, Youtuber, นักวาดฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่นักพัฒนาเว็บ ทุกคนล้วนมีรายได้ที่จับต้องได้ แต่คำถามสำคัญคือ “ต้องเสียภาษีไหม?” “แล้วถ้าไม่ได้จดทะเบียนล่ะ จะผิดหรือเปล่า?”

ในบทความนี้เราจะพาไปเข้าใจระบบภาษีสำหรับคนทำงานออนไลน์ และเสนอทางออกที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่อยู่ในระบบได้อย่างโปร่งใสและปลอดภัย

รายได้ออนไลน์ = รายได้พึงประเมิน

ตามกฎหมายไทย ไม่ว่าคุณจะมีรายได้จากที่ใดในโลกก็ตาม ถ้าเป็นรายได้เข้าประเทศไทย (หรือคุณอยู่ในไทยเกิน 180 วัน) จะถือว่าเป็น “รายได้พึงประเมิน” ที่ต้องเสียภาษี

ตัวอย่างรายได้ที่เข้าข่าย:

  • รายได้จากการขายของออนไลน์ / livestream

  • รายได้จากการรับจ้าง เช่น วาดภาพ ออกแบบ ตัดต่อคลิป ฯลฯ

  • รายได้จาก YouTube, Tiktok, Twitch

  • รายได้จากการให้เช่าพื้นที่โฆษณา

  • รายได้จากต่างประเทศ เช่น Fiverr, Upwork, Patreon

แล้วต้องทำยังไง?

1. ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90)

หากคุณมีรายได้ เกิน 150,000 บาท/ปี (ถ้ายังโสด) ต้องยื่นภาษี

ถ้ามีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้อง จด VAT ด้วย (ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)

2. สามารถหักค่าใช้จ่ายได้

คุณเลือกได้ระหว่าง:

  • หักเหมา 60% สำหรับงานรับจ้างทั่วไป เช่น ฟรีแลนซ์, ทำคอนเทนต์

  • หักตามจริง ถ้ามีหลักฐาน เช่น ค่าไฟ, ค่าคอม, ค่ากล้อง ฯลฯ

📌 แนะนำให้เก็บบิลไว้ หากคิดจะหักตามจริงในปีถัดไป

ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้

คนจำนวนมาก “ไม่รู้” ว่าต้องเสียภาษี

หลายคนเริ่มทำงานออนไลน์ตั้งแต่วัยเรียน หรือเริ่มจากงานอดิเรก ขายของเล็กๆ จนมีรายได้หลักหมื่น หลักแสน แต่ยังไม่รู้ว่าเข้าข่ายเสียภาษี

📍 บางรายรู้เมื่อสายไป โดนตรวจย้อนหลัง และมีค่าปรับ 1.5% ต่อเดือน + เบี้ยปรับอีก 100%

คนทำตามกฎหมายกลับเสียเปรียบ?

ปัจจุบัน มีคนที่ ยื่นภาษีอย่างถูกต้องเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่คนที่ “อยู่ในเงามืด” หรือขายโดยไม่ใช้ชื่อจริง ยังเลี่ยงได้อยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม

แนวทางแก้ไขเชิงระบบ

  1. รัฐควรจัดทำระบบยื่นภาษีแบบง่ายพิเศษ (simplified tax) สำหรับกลุ่มออนไลน์/ฟรีแลนซ์

    • เช่น ระบบรายได้ต่ำกว่า 500,000 บาท ยื่นภาษีแบบ one-page ง่ายๆ

    • ไม่ต้องจด VAT ในปีแรกหากไม่มีรายได้ประจำ

  2. ส่งเสริมการจดทะเบียนอย่างไม่ลงโทษ

    • ออกนโยบาย “ลงทะเบียนก่อน ยกเว้นภาษีย้อนหลัง 1 ปี”

    • ให้สิทธิประโยชน์เช่น ประกันสุขภาพ / ประกันสังคมภาคสมัครใจ

  3. สร้างเครื่องมือวางแผนภาษีออนไลน์

    • เช่น “เครื่องคิดภาษีสำหรับยูทูบเบอร์” หรือ “ภาษีคนขายของใน TikTok” แบบกรอกแล้วรู้เลยว่าต้องเสียเท่าไหร่

สรุป

แม้งานออนไลน์จะเป็นอาชีพอิสระ แต่ภาษีก็ยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้และรับผิดชอบ การอยู่ในระบบภาษีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเราเข้าใจสิทธิของตัวเอง และรัฐเองก็มีหน้าที่ทำให้การเข้าระบบภาษี “ง่ายและเป็นธรรม” ไม่ใช่แค่การจับผิดคนทำมาหากิน

“ระบบภาษีไทยในปัจจุบัน: ปัญหา ความเข้าใจผิด และทางออกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”

ระบบภาษีถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับรัฐ เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศและสวัสดิการประชาชน แต่ในประเทศไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบภาษีกลับกลายเป็นเรื่องที่สร้างความสับสน และบางครั้งยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกับกลุ่มคนทำงานอิสระ ธุรกิจขนาดเล็ก และผู้มีรายได้น้อย

ปัญหาหลักของระบบภาษีไทยในปัจจุบัน

1. ความเหลื่อมล้ำทางภาษี

แม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบ “ภาษีก้าวหน้า” คือ ยิ่งรายได้สูง ยิ่งเสียภาษีมาก แต่ในความเป็นจริง กลุ่มคนที่มีรายได้สูงมากกลับสามารถ ลดหย่อนภาษีได้จำนวนมาก ผ่านการวางแผนภาษีหรือใช้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ขณะที่กลุ่มคนรายได้น้อยไม่มีช่องทางลดหย่อนได้เท่าเทียม

ตัวอย่าง: ผู้มีรายได้สูงสามารถหักค่าใช้จ่ายจากการลงทุน ซื้อกองทุน หรือบริจาคได้เกินครึ่งของภาษีที่ควรจ่าย ขณะที่พนักงานเงินเดือนหรือคนค้าขายขนาดเล็กทำไม่ได้

2. ความเข้าใจผิดและความรู้ภาษีต่ำ

คนจำนวนมาก ไม่เข้าใจว่าต้องยื่นภาษีหรือเสียภาษีเมื่อไหร่ โดยเฉพาะกลุ่มฟรีแลนซ์ ขายของออนไลน์ หรือคนที่มีรายได้ไม่ประจำ จึงทำให้เกิดปัญหา ไม่ยื่นภาษี หรือยื่นผิด จนโดนปรับย้อนหลัง

ตัวอย่าง: ฟรีแลนซ์ที่มีรายได้เกิน 150,000 บาท/ปี แต่ไม่รู้ว่าต้องยื่นภาษีเพราะไม่มีสลิปเงินเดือน

3. ระบบออนไลน์ที่ยังไม่ครอบคลุม

แม้ว่าเราจะสามารถ ยื่นภาษีออนไลน์ผ่าน e-Filing ได้แล้ว แต่ระบบของกรมสรรพากรยัง ขาดการบูรณาการข้อมูล กับหน่วยงานอื่น เช่น สปสช. หรือกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ส่งผลให้ผู้เสียภาษีต้องกรอกข้อมูลเองซ้ำซ้อน

4. ฐานภาษีแคบ – คนจ่ายภาษีน้อยกว่าที่ควร

จากข้อมูลของกรมสรรพากร พบว่า คนที่ “มีหน้าที่ต้องเสียภาษี” จริง ๆ ในประเทศมีไม่ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ทำให้ฐานรายได้ของรัฐไม่มั่นคง และต้องพึ่งภาษีทางอ้อม (เช่น VAT) ซึ่งกระทบคนจนมากที่สุด

แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้

1. พัฒนาแพลตฟอร์มภาษีให้ใช้งานง่ายและเป็นมิตร

  • ปรับปรุง e-Filing ให้มี คำอธิบายที่เข้าใจง่าย

  • มีระบบ เตือนอัตโนมัติ สำหรับคนที่มีรายได้จากแหล่งอื่น (เช่น ผ่าน PromptPay หรือระบบบัญชีธนาคาร)

  • บูรณาการข้อมูลรายได้จากทุกภาคส่วน เช่น สลิปเงินเดือน, การจ่ายค่าจ้าง, การโอนเงินจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ฯลฯ

2. ส่งเสริมการศึกษาภาษีตั้งแต่ระดับมัธยม

  • เพิ่มเนื้อหาวิชา “ภาษีและวางแผนการเงินส่วนบุคคล” ในหลักสูตร

  • จัดทำคลิปวิดีโอสั้นๆ ให้ความรู้ เช่น “ใครต้องยื่นภาษี?”, “ลดหย่อนอะไรได้บ้าง?”, “ไม่ยื่นภาษีผิดไหม?”

3. ลดความเหลื่อมล้ำในการลดหย่อน

  • ปรับลดเพดานของสิทธิประโยชน์สำหรับรายได้สูง

  • เพิ่ม ค่าลดหย่อนมาตรฐาน สำหรับคนที่มีรายได้ต่ำ

  • จัดระบบ คืนภาษีแบบอัตโนมัติ สำหรับกลุ่มรายได้ต่ำที่เสียภาษีล่วงหน้า (เช่น พนักงานหักภาษี ณ ที่จ่ายเกิน)

4. ขยายฐานภาษีอย่างเป็นธรรม

  • ใช้ระบบ “ข้อมูลการใช้จ่ายและโอนเงิน” เพื่อประเมินรายได้กลุ่มนอกระบบ

  • กระตุ้นให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบภาษี โดย ให้สิทธิประโยชน์ในปีแรก เช่น ลดภาษี 50%, ฟรีค่าปรับย้อนหลัง


บทสรุป

ระบบภาษีไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันโลกยุคดิจิทัล และลดความเหลื่อมล้ำที่สะสมมานาน การทำให้ประชาชนเข้าใจภาษีมากขึ้น เข้าถึงระบบได้ง่าย และรู้สึกว่า “ภาษีที่จ่ายไปมีความหมาย” จะช่วยสร้างระบบที่โปร่งใส ยั่งยืน และเป็นธรรมยิ่งขึ้น

วิธีวางแผนภาษีให้เสียภาษีน้อย – ทำได้ถูกกฎหมาย ไม่โดนปรับ

วางแผนภาษี คือการจัดการรายได้ ค่าใช้จ่าย และการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อให้จ่ายภาษีน้อยลงแต่ยังอยู่ภายใต้กฎหมายของกรมสรรพากร

เป้าหมายของการวางแผนภาษี

  • ลดภาระภาษีโดยไม่หลีกเลี่ยงภาษี

  • ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีอย่างเต็มที่

  • เตรียมเอกสารและวางแผนล่วงหน้าเพื่อไม่เสียค่าปรับหรือเบี้ยปรับ

เทคนิคการวางแผนภาษีแบบถูกกฎหมาย

1. ใช้สิทธิลดหย่อนให้ครบ

  • ลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท

  • ลดหย่อนบุตร/คู่สมรส

  • เบี้ยประกันชีวิต / สุขภาพ

  • ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน

  • กองทุน SSF/RMF

2. วางแผนการใช้จ่ายให้มีใบเสร็จ / ใบกำกับภาษี

  • เช่น ค่าเบี้ยประกัน หรือการซื้อของผ่าน VAT เพื่อใช้ยื่นหักรายได้ในกรณีนิติบุคคล

3. แยกทรัพย์สินและรายได้ระหว่างบุคคลกับธุรกิจ

  • อย่าปะปนกัน เพราะอาจทำให้เสียภาษีซ้ำซ้อน

ตัวอย่าง

คุณ A มีรายได้ 700,000 บาท/ปี
ถ้าไม่มีลดหย่อนเลย → ต้องเสียภาษีประมาณ 29,000 บาท

แต่ถ้าใช้สิทธิลดหย่อนเช่น

  • เบี้ยประกันชีวิต 100,000

  • ดอกเบี้ยบ้าน 50,000

  • SSF 100,000
    รายได้สุทธิเหลือ 450,000 → เสียภาษีเพียงประมาณ 8,000 บาทเท่านั้น!

ภาษีคืออะไร? ความรู้พื้นฐานเรื่องภาษีที่ทุกคนควรรู้

ภาษี (Tax) คือเงินที่ประชาชนหรือผู้ประกอบการต้องชำระให้กับรัฐบาล เพื่อใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ เช่น การสร้างถนน โรงเรียน โรงพยาบาล หรือสวัสดิการสังคมต่าง ๆ

🔍 ทำไมต้องจ่ายภาษี?

เพราะภาษีเป็นหน้าที่ของพลเมือง และเป็นเครื่องมือที่รัฐใช้ในการจัดสรรทรัพยากร รวมถึงควบคุมเศรษฐกิจและส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม

📚 ภาษีมีกี่ประเภท?

ภาษีในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

1. ภาษีทางตรง (Direct Tax)

คือภาษีที่จัดเก็บจาก รายได้หรือกำไรของบุคคลหรือบริษัท เช่น:

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91)

  • สำหรับคนที่มีรายได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง หรืออาชีพอิสระ

  • ยื่นภาษีปีละ 1 ครั้ง (ช่วง ม.ค. – มี.ค.) ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50/51)

  • สำหรับบริษัท ห้างหุ้นส่วน

  • คิดจากกำไรสุทธิของกิจการ

  • ยื่นปีละ 2 ครั้ง (กลางปี และสิ้นปี)

2. ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax)

คือภาษีที่เก็บจากการซื้อสินค้าและบริการ เช่น:

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

  • อัตรา 7% สำหรับสินค้าหรือบริการเกือบทุกประเภท

  • ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต้องจด VAT

ภาษีธุรกิจเฉพาะ

  • เก็บจากธุรกิจเฉพาะ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน

  • คิดจากรายรับรวม ไม่ใช่กำไร

อากรแสตมป์

  • เก็บเมื่อมีการทำสัญญา หรือเอกสารบางประเภท เช่น เช่าทรัพย์สิน, มอบอำนาจ, จดทะเบียนหุ้น

ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้อง
บุคคลทั่วไปที่มีรายได้ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เจ้าของกิจการ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ VAT
บริษัท / ห้างหุ้นส่วน ภาษีเงินได้นิติบุคคล, VAT
ผู้ขายสินค้าหรือบริการ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้าเกินเกณฑ์)

🧮 ตัวอย่างการคำนวณภาษีง่าย ๆ

กรณีบุคคลธรรมดา
นาย A มีรายได้ 500,000 บาทต่อปี หักค่าลดหย่อน 100,000 บาท
= รายได้สุทธิ 400,000 บาท
ตามอัตราภาษีขั้นบันได นาย A จะเสียภาษีประมาณ 3,000 บาท

กรณีนิติบุคคล
บริษัท B มีกำไรสุทธิ 1,000,000 บาท
อัตราภาษี 20% → ต้องเสียภาษี 200,000 บาท

📌 คำแนะนำในการวางแผนภาษี

  • เก็บเอกสารให้ครบ: บิลขาย, ใบเสร็จ, สัญญา

  • ใช้สิทธิลดหย่อนให้เต็มที่ เช่น เบี้ยประกัน, กองทุน RMF/SSF

  • หากไม่แน่ใจเรื่องกฎหมายภาษี ควรปรึกษา สำนักงานบัญชี หรือผู้ทำบัญชีที่เชี่ยวชาญ


🔑 สรุป

ภาษีไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเราทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณ ประหยัดภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และทำให้ธุรกิจของคุณโปร่งใสและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

บัญชีคืออะไร? ความรู้พื้นฐานทางบัญชีที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

บัญชี (Accounting) คือกระบวนการบันทึก จัดประเภท สรุป และรายงานข้อมูลทางการเงินของกิจการอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายหลักคือการแสดงให้เห็นสถานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของกิจการอย่างถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้

การเข้าใจ ความรู้บัญชีพื้นฐาน เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจ นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการเริ่มต้นในสายงานบัญชี เพราะเป็นพื้นฐานของการวางแผนธุรกิจและตัดสินใจทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบหลักของระบบบัญชี

  1. การบันทึกรายการบัญชี (Recording)
    เป็นการจดบันทึกรายการทางการเงินที่เกิดขึ้นจริง เช่น การขาย การซื้อ การจ่ายเงิน หรือการรับเงิน ลงในสมุดบัญชีขั้นต้น (เช่น สมุดรายวันทั่วไป)

  2. การจำแนกรายการบัญชี (Classifying)
    คือการจัดกลุ่มรายการที่บันทึกไว้ให้อยู่ในหมวดหมู่ที่เหมาะสม เช่น รายได้ ค่าใช้จ่าย ทรัพย์สิน หนี้สิน หรือทุน

  3. การสรุปผล (Summarizing)
    เป็นการนำข้อมูลที่จำแนกแล้วมาจัดทำงบการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อให้สามารถดูภาพรวมของธุรกิจได้

  4. การรายงานผล (Reporting)
    ข้อมูลทางการเงินจะถูกสรุปเป็นรายงานเพื่อส่งต่อให้กับผู้ใช้งาน เช่น เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร นักลงทุน หรือหน่วยงานราชการ เช่น กรมสรรพากร

ประเภทของบัญชีพื้นฐาน 5 หมวด

  1. สินทรัพย์ (Assets)
    เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า อาคาร อุปกรณ์

  2. หนี้สิน (Liabilities)
    เช่น เจ้าหนี้การค้า เงินกู้ยืม ภาษีค้างจ่าย

  3. ทุน (Equity)
    คือเงินลงทุนของเจ้าของกิจการ และกำไรสะสม

  4. รายได้ (Revenue)
    เช่น รายได้จากการขาย บริการ ดอกเบี้ยรับ

  5. ค่าใช้จ่าย (Expenses)
    เช่น ค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเสื่อมราคา

ทำไมต้องรู้บัญชีแม้ไม่ได้เป็นนักบัญชี?

  • เพื่อ ควบคุมต้นทุน และวางแผนการเงินได้อย่างแม่นยำ

  • เพื่อ รู้สถานะการเงินของกิจการแบบเรียลไทม์

  • เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการ ยื่นภาษี อย่างถูกต้อง

  • เพื่อ สื่อสารกับนักบัญชีหรือสำนักงานบัญชี ได้เข้าใจมากขึ้น

  • เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อธุรกิจในระยะยาว

สรุป

บัญชีไม่ใช่เรื่องของนักบัญชีเท่านั้น แต่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ เจ้าของธุรกิจทุกคนควรรู้ เพราะการเข้าใจบัญชีช่วยให้คุณควบคุมธุรกิจได้ดีกว่าเดิม ลดความเสี่ยง เพิ่มความมั่นใจ และวางแผนเติบโตได้อย่างยั่งยืน

หากคุณกำลังมองหาความรู้บัญชีเพิ่มเติม หรือมองหาผู้ช่วยดูแลบัญชีอย่างมืออาชีพ การปรึกษา สำนักงานบัญชีที่เชื่อถือได้ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างมั่นคง

รับทำบัญชีรายเดือน vs รายปี แบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ?

หนึ่งในคำถามที่เจ้าของกิจการมือใหม่มักสงสัยคือ ควรใช้บริการ รับทำบัญชีรายเดือน หรือ รายปี แบบไหนคุ้มค่าและเหมาะกับธุรกิจมากกว่า?

รับทำบัญชีรายเดือน คืออะไร?

บริการที่สำนักงานบัญชีจะเข้ามาจัดทำบัญชีและยื่นภาษีให้ทุกเดือน เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภงด. 3, 53), ภาษีเงินเดือน (ภงด. 1)

เหมาะกับ:

  • ธุรกิจที่มีรายได้เข้าออกประจำ
  • บริษัทที่ต้องการความเรียบร้อยและถูกต้องของบัญชีตลอดปี

รับทำบัญชีรายปี คืออะไร?

สำนักงานบัญชีจะจัดทำบัญชีและงบการเงินเฉพาะช่วงสิ้นปี เพื่อใช้ยื่นภาษีนิติบุคคลและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

เหมาะกับ:

  • ธุรกิจขนาดเล็กที่มีรายการน้อย หรือเพิ่งเริ่มต้น
  • เจ้าของกิจการที่มีงบจำกัดและไม่มีภาระภาษีรายเดือน

เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย

  • รายเดือน: ราคาสูงกว่า แต่ครอบคลุมบริการตลอดปี
  • รายปี: ราคาถูกกว่า แต่เสี่ยงหากเอกสารไม่ครบตลอดปี

สรุป

หากธุรกิจของคุณมีรายได้ประจำหรือการเงินซับซ้อน ควรเลือก รับทำบัญชีรายเดือน เพื่อความถูกต้องต่อเนื่อง แต่หากเพิ่งเริ่มต้นหรือมีรายได้น้อย บัญชีรายปี ก็อาจเพียงพอในระยะแรก

5 จุดสังเกตก่อนเลือกสำนักงานบัญชีที่ไว้ใจได้

การเลือก สำนักงานบัญชีมืออาชีพ สำหรับธุรกิจของคุณไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะจะส่งผลต่อความถูกต้องของเอกสาร การยื่นภาษี และความน่าเชื่อถือของกิจการ หากเลือกผิด อาจเสี่ยงเสียภาษีแพง หรือเจอปัญหากฎหมายโดยไม่รู้ตัว

5 จุดสังเกตสำนักงานบัญชีที่น่าเชื่อถือ

  1. มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพบัญชี ต้องตรวจสอบว่าเป็นผู้ทำบัญชีที่ขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพบัญชี
  2. ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เคยทำบัญชีให้ธุรกิจประเภทเดียวกับของคุณหรือไม่
  3. ความโปร่งใสด้านราคาและบริการ ต้องมีใบเสนอราคาชัดเจน ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง
  4. มีทีมงานที่ตอบคำถามได้ชัดเจน หากสอบถามแล้วได้คำตอบไม่ตรง หรือไม่อธิบายให้เข้าใจ อาจไม่เหมาะจะทำงานระยะยาว
  5. รีวิวจากลูกค้าเก่า ควรดูความเห็นจากผู้ใช้งานจริง เช่น ใน Google Maps, Facebook หรือเว็บไซต์

สรุป

การเลือกสำนักงานบัญชีที่ดีไม่ใช่แค่ดูราคา แต่ต้องพิจารณาจากคุณภาพ ความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือ เพราะการทำบัญชีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจของคุณปลอดภัยและเติบโตได้ในระยะยาว

ทำไมธุรกิจ SME ต้องใช้บริการบริษัทรับทำบัญชี

ในยุคที่การทำธุรกิจมีการแข่งขันสูง ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) จำเป็นต้องมีการจัดการทางการเงินที่ดี เพื่อให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้อย่างมั่นคง หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ SME ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การใช้บริการจาก บริษัทรับทำบัญชีสำหรับ SME

ปัญหาที่ SME มักพบเมื่อต้องทำบัญชีเอง

  • เอกสารทางบัญชีไม่เป็นระบบ
  • ยื่นภาษีผิดพลาด เสี่ยงถูกสรรพากรตรวจสอบย้อนหลัง
  • ขาดความรู้ด้านกฎหมายภาษีและการวางแผนภาษี
  • เสียเวลาในการทำบัญชีเองแทนที่จะใช้เวลาในการพัฒนาธุรกิจ

ข้อดีของการใช้บริษัทรับทำบัญชี

  1. ประหยัดเวลาและทรัพยากร – ไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ ไม่ต้องเสียเวลาศึกษากฎหมายบัญชีเอง
  2. ถูกต้องตามกฎหมาย – บริษัทมีทีมงานที่เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความถูกต้องก่อนยื่นงบ
  3. วางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ – ช่วยให้ประหยัดภาษีโดยไม่ผิดกฎหมาย
  4. ข้อมูลการเงินเป็นระบบ – ช่วยให้เจ้าของกิจการวิเคราะห์ธุรกิจได้แม่นยำ

วิธีเลือกสำนักงานบัญชีสำหรับ SME

  • เลือกบริษัทที่มีใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพบัญชี
  • มีประสบการณ์ทำบัญชีให้ธุรกิจขนาดเล็ก
  • บริการตอบโจทย์ครบวงจร เช่น ยื่นภาษีรายเดือน รายปี
  • รีวิวดีจากลูกค้าเก่า และมีการให้คำปรึกษาเบื้องต้นฟรี

สรุป

การเลือกใช้บริการ บริษัทรับทำบัญชีสำหรับ SME ไม่ใช่แค่การจ้างทำบัญชี แต่คือการลงทุนที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตามกฎหมาย และมีข้อมูลการเงินที่พร้อมใช้ตัดสินใจในทุกขั้นตอนของการบริหารธุรกิจ

บริการรับทำบัญชี สอบบัญชี ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับภาษีอากร และบริการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท/ห้างหุ้นส่วน

  • บริการตรวจสอบงบการเงินประจำปี

    บริการตรวจสอบบัญชีตามที่กฎหมายกำหนด รับทำบัญชีโดยทีมงานที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ทางด้านการตรวจสอบบัญชี ซึ่งการตรวจสอบงบการเงินนั้น
  • บริการสอบทานงบการเงิน

    การสอบทานงบการเงิน เป็นบริการที่ให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้งบการเงินในอีกรูปแบบหนึ่งโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตซึ่งเป็นบุคคลอิสระที่ไม่มีส่วนได้เสียแก่กิจการ
  • บริการตรวจสอบภายในกิจการ

    บริการที่ให้ความเชื่อมั่นและการให้คำปรึกษาอย่างเที่ยงธรรมและเป็นอิสระ เกี่ยวกับการควบคุมภายในในกระบวนการปฏิบัติงาน การรายงานทั้งที่เป็นตัวเงินและมิใช่ตัวเงิน และการปฏิบัติตามกฎหมาย
  • บริการวางระบบบัญชีและการควบคุมภายในกิจการ

    การวางระบบัญชีและการออกแบบระบบการควบคุมภายในกิจการ ถือเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของกิจการเพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพและลดความผิดพลาดของข้อมูลในงบการเงิน
  • บริการรับจดทะเบียนบริษัทและห้างหุ้นส่วน

    ความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผู้ประกอบการหลาย ๆ รายจึงต้องการจดทะเบียนบริษัทเพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวของธุรกิจ
line hkbaudit ติดต่อเรา